วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แท็บเล็ต

Acer Iconia Tab A700
รมว.ศธ.ยืนยันแท็บเล็ตปฏิวัติการสอนให้เด็กระบุ 3-5 ปีทุก รร.จะได้ใช้แท็บเล็ต        
          เอกมัย 19 ก.ค.- รมว.ศึกษาฯ ยืนยันแท็บเล็ตปฏิวัติการสอนทำให้เด็กได้เรียนรู้เพิ่มเติม ระบุในอีก 3-5 ปี ทุกโรงเรียนจะได้ใช้แท็บเล็ต ขณะที่เลขาฯ กพฐ.มั่นใจภายในเทอมนี้ นักเรียน ป.1 ทุกโรงเรียนจะได้รับแท็บเล็ต
          นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธานการเสวนาวิชาการ แท็บเล็ตช่วยตอบปัญหาการศึกษาไทยได้อย่างไร ที่โรงเรียนดาราคาม กรุงเทพมหานคร ภายหลังจากรัฐบาลได้แจกแท็บเล็ต 55,000 เครื่อง ในรอบแรกไปยังโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ นายสุชาติ กล่าวว่า หลังจากเริ่มแจกจ่ายแท็บเล็ตให้นักเรียน ป.1 จะเห็นว่าวันนี้ได้มาดูห้องเรียนที่โรงเรียนดาราคาม ทั้งนักเรียน และครู ต่างกระตือรือร้น ตื่นเต้น กับสื่อการสอนใหม่นี้ เช่น ในห้องเรียนภาษาอังกฤษ ที่นักเรียนกล้าพูด กล้าออกเสียง ออกสำเนียงที่ถูกต้อง เพราะได้ยินเสียงจากเจ้าของภาษาจากแท็บเล็ต ขณะที่ครูได้ไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อมาสอนนักเรียนในห้องเช่นกัน ส่วนห้องเรียนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ พบว่าในบทเรียนบนแท็บเล็ตมีรูปภาพ  ภาพเคลื่อนไหว ส่งผลให้เด็กเกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้น
          "แท็บเล็ตเป็นการปฏิวัติการสอนทำให้สมองแผ่กิ่งก้านสาขา เด็กจะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ทุกโรงเรียนในประเทศไทยจะมีแท็บเล็ตใช้" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าว
          ทั้งนี้ ที่โรงเรียนดาราคาม มีนักเรียน ชั้น ป.1 ได้รับแท็บเล็ต 83 เครื่อง เริ่มเรียน มาล่วงหน้าแล้ว จากการยืมเครื่องมาเรียน ส่วนเครื่องจริงเพิ่งได้รับเมื่อวานนี้
          ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า สาเหตุที่เลือกมาที่โรงเรียนดาราคาม เป็นแห่งแรกภายหลังจากมีการแจกแท็บเล็ตทั่วประเทศ เนื่องจากต้องการสะท้อนความต้องการของนักเรียนในหลากหลายพื้นที่ ที่โรงเรียนดาราคามอยู่ในพื้นที่เขตคลองเตย ซึ่งมีพื้นที่ของชุมชนหนาแน่น และได้พบว่า ชุมชนย้านนี้เด็กก็สามารถใช้ประโยชน์จากการเรียนผ่านแท็บเล็ตได้ ส่วนข่าวที่มีบางโรงเรียนประกาศว่าไม่รับเครื่องนั้น ตามนโยบาย นักเรียน ชั้น ป.1 ทุกโรงเรียนต้องได้รับ และ สพฐ. คาดว่าจะแจกจ่ายให้กับทุกโรงเรียนครบภายในเทอมนี้.-สำนักข่าวไทย

อาจารย์วิทย์จุฬาฯ จี้ดีเอสไอสอบการซื้อ GT 200 เข้าข่ายฉ้อโกง




            จุฬาฯ 19 ก.ค.-นักวิชาการคณะวิทย์  จุฬาฯ อยากให้ขยายผลสอบ GT 200  เป็นการถูกฉ้อโกง  เพราะคนผิดจริง ๆ คือ คนที่มาหลอกขาย  แต่คนซื้ออาจทำไปด้วยเจตนาสุจริตใจ ระบุตอนนี้ดีเอสไอชี้มูลแค่การฮั้วประมูล  พร้อมเปิดเผยควรตรวจสอบเสื้อเกราะที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ  อาจทำให้เจ้าหน้าที่ไม่ปลอดภัย

          ผศ.ดร.เจษฎา  เด่นดวงบริพันธ์  อาจารย์จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งเป็นผู้ที่ร่วมตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT 200 และ ALFA 6 ว่ามีความผิดพลาดในการตรวจหาวัตถุระเบิด เปิดเผยกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สรุปผลการสอบสวนกรณีทุจริตการจัดซื้อ       เครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT 200 และ ALFA 6 พร้อมทำหนังสือแจ้งหน่วยงานรัฐ 13 แห่งว่า  อาจถูกหลอกลวงหรือฉ้อโกงจากบริษัทผู้ขายและผู้ผลิตในต่างประเทศว่า เรื่องดังกล่าว หากมองว่าเป็นการดำเนินการที่ล่าช้าไปหรือไม่  ต้องยอมรับว่าล่าช้า  เพราะสำนักข่าวต่างประเทศได้มีการนำเสนอเรื่องดังกล่าวมากว่า 3 ปีแล้ว  ขณะนี้ตำรวจอังกฤษเพิ่งจะนำตัวเจ้าของส่งฟ้องศาลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ประเด็นที่ดีเอสไอชี้มูลความผิด ยังเป็นแค่เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างที่มีราคาแพง และเข้าข่ายการฮั้วประมูล  แต่ยังไม่สรุปว่าเป็นลักษณะของการฉ้อโกง

          ผศ.ดร.เจษฎา  เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวคิดว่าความเข้าใจเรื่องนี้ยังคลาดเคลื่อน  การออกไปยอมรับผิดหรือประกาศเลิกใช้เครื่องดังกล่าว ทั้งที่ผลการตรวจสอบทั้งของต่างชาติ  และประเทศไทย  ก็ชี้ชัดเจนว่าเครื่องดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพ  การขายเครื่องดังกล่าวจึงเข้าข่ายการฉ้อโกง  อย่างไรก็ตามไม่อยากให้ตามตรวจสอบคนที่ซื้อมาใช้เพราะเชื่อว่าทำไปโดยสุจริตใจ  และคนผิดจริงๆ คือคนที่มาหลอกขาย  และอยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์และเป็นบรรทัดฐานให้การจัดซื้อจัดจ้างเครื่องมือสำคัญต่างๆ ของหน่วยงานรัฐจะต้องมีการพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพ ว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่ หากไม่มั่นใจ ควรจะตรวจสอบซึ่งกันและกันในหน่วยงานที่จะมีการจัดซื้อเช่นเดียวกัน  และควรใช้กลไกที่มีอยู่เข้าไปตรวจสอบหรือขอความร่วมมือจากนักวิชาการ  เช่น  กระทรวงกลาโหม  มีสถาบันเทคโนโลยีทหาร สามารถตรวจสอบได้

"ผมมองว่าการจัดซื้อจัดจ้างในเรื่องของประสิทธิภาพที่น่าห่วงที่สุดตอนนี้คือเสื้อเกราะ  ซึ่งมีความจำเป็น ในหลายหน่วยงานและขาดแคลนอยู่  เช่น ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.)  ที่กำลังถูกสับเปลี่ยนไปดูแลเขาพระวิหาร  เสื้อเกราะ ที่เจ้าหน้าที่ใช้อยู่พบว่าหลายตัวก็ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ  จะเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ อยากให้หน่วยงานรัฐหางบประมาณเข้าไปดูแล  ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย" อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าว  .- สำนักข่าวไทย

วิจัยชี้ผู้ใช้ปลื้มกูเกิ้ลพลัสมากกว่าเฟซบุ๊ก

อ้างอิงข้อมูลตัวเลขจากดัชนีวัดความพึงพอใจของผู้บริโภคโดย ACSI ระบุว่า คะแนนความพึงพอใจของผู้ใช้ชาวมะกันที่มีต่อบริการของ Google+ และ Wikipedia เท่ากันคือ 78 จาก 100 ในขณะที่ทิ้งห่างสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง "เฟซบุ๊ก" (Facebook) ที่มีเปอร์เซ็นต์ความพึงพอใจอยู่ที่ 61 เท่านั้น แถมยังตกจากปีก่อนถึง 7.6% เลยทีเดียว ในรายงานดังกล่าวยังวิเคราะห์อีกด้วยว่า ผลการตกตำในด้านความนิยมของเฟซบุ๊กมาจากการเปลี่ยนรูปแบบของโพรไฟล์เป็น TImeline โดยผู้ใช้บ่นว่า พวกเขาไม่สามารถปฎิเสธการใช้โพรไฟล์แบบใหม่ได้ ในขณะที่ Google+ ได้รับความพอใจสูงขึ้น เนื่องจากการเชื่อมบริการกูเกิ้ลต่างๆ อย่างเช่น Search, Youtube และ Gmail เข้าไปด้วย ซึ่งรวมถึงเวอร์ชันบนโมบาย ที่ทางกูเกิ้ลแจ้งว่า แทรฟฟิกของ Google+ ส่วนใหญ่มาจากโมบายแอพฯ



นอกจากนี้ ACSI ยังเปิดเผยอีกด้วยว่า เครือข่ายสังคมออนไลน์ Google+ ไม่มีโฆษณาเข้ามารวบกวนเหมือน Facebook และโซเชียลมีเดียอื่นๆ สำหรับตัวเลขในตารางที่ไม่มีคะแนนความพึงพอใจของ Google+ ในปี 2011 เนื่องจากไม่ได้มีการวัดผลในปีดังกล่าว ผลวิจัยตัวเลขนี้สอดคล้องกับข้อมูลสถิติของ Compete บริษัทวิเคราะห์เว็บไซต์ที่แสดงตัวเลขผู้เยี่ยมชมล่าสุดของ Google+ ที่เติบโตถึง 43% ในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ที่ผ่านมา ทั้งนี้ผู้บริหารกูเกิ้ลกล่าวว่า Google+ มีสมาชิกทั้งสิ้น 250 ล้านราย โดยมีผู้ใช้ที่ใช้งานเป็นประจำอยู่ที่ 150 ล้านรายต่อเดือน และ 75 ล้านรายต่อวัน ไม่ว่าคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip จะเชื่อตัวเลขดังกล่าว หรือไม่ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า Google+ กำลังรุกคืบตลอดเวลา แน่นอนว่า มันคงจะไม่สามารถเอาชนะ Facebook ได้ในเร็ววัน แต่ก็ประมาทไม่ได้เหมื่อนกัน (นักวิเคราะห์มองว่า เฟซบุ๊กมีผู้ใช้เยอะกว่ามาก ดังนั้นคะแนนความพึงพอใจย่อมมีโอกาสที่จะตกต่ำกว่าได้ แต่ในทางกลับกันการมีผู้ใช้มากกว่า มันก็จะสร้างพลังของการผูกขาดที่ยึดเหนี่ยวผู้ใช้ที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงกับสิ่งที่ใช้มายาวนานได้เหมือนกัน)



พระอาทิตย์ทรงกลดวันที่ 19 กค.2555







กาก้า แรง โพสต์ภาพเปลือยชูจุดขายน้ำหอม



เลดี้ กาก้า นักร้องแนวหลุดโลก เจ้าแม่แฟชั่น ที่หล่อนได้ทวิตเตอร์ ภาพโฆษณา ที่เธอไปนอนโพสต์ท่า ถ่ายแบบน้ำหอมแบรนด์ของตัวเอง Lady Gaga Fame ที่ขอบอกว่า หวือหวามาก กาก้ายอมลงทุนเปลื้องผ้า นอนโพสต์ท่าถือขวดน้ำหอม แล้วมีภาพผู้ชายตัวเล็กๆ มาปีนป่ายตามจุดต่างๆ ของร่างกาย พร้อมกันนี้ เธอก็ได้ทวีตฯข้อความว่า เธอกังวลกับงานที่ได้แชร์ออกมาให้แฟนๆ ทั่วโลกไดดู แต่เขาก็ภูมิใจ ในช่างภาพที่ถ่าย คือ สตีเวน ไคล์น และภูมิใจตัวเอง ในงานชิ้นนี้ เพราะพวกเขาไม่ได้นอนกันเลยเกือบทั้งคืน ทางด้านผู้บริหาร โคอี้อิงค์ ได้ชื่นชมเลดี้กาก้ามาด้วย ว่า เลดี้กาก้า เป็นคนที่มีความคิด และมักพูดเสมอตลอดระยะเวลาการทำน้ำหอม ว่า เราจะทำได้มากกว่านี้อีกไหม และเลดี้กาก้า คนนี้แหละได้ร่วมป็นตำนาน สร้างกลิ่นใหม่กับเรา

ภาพหาดูยากกรุงเทพในอดีต

เลวระยำเมๅกัญชๅข่มขืนแม่วัย 61 ปี



 

ลูกทรพีติดกัญชา-ใบกระท่อมไม่ทำงาน จนวิปริตกดหัวข่มขืนแม่บังเกิดเกล้าวัย 61 ปี ผู้เป็นแม่ต้องวิ่งโร่ขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้านนำตัวไปแจ้งความรวบตัวลูกชั่วรับสารภาพอ้างทำไปไม่รู้ตัวเหมือนมีคนหรือผีกระซิบให้ทำ...
เมื่อเวลา 16.30 น.วันที่ 18 ก.ค. ร.ต.อ.สุขสันต์ ยิ้มแย้ม ร้อยเวร.สภ. ท่าแซะ ได้รับแจ้งความจากหญิงชราวัย 61 ปี อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ที่ผู้ใหญ่บ้านให้การช่วยเหลือนำตัวมายังโรงพัก เนื่องจากถูกลูกชายแท้ๆ ใช้กำลังข่มขืน จึงนำกำลังไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวตั้งอยู่กลางไร่กาแฟ โดยพบตัวลูกชายผู้ก่อเหตุวัย 21 ปีนั่งอยู่ภายในบ้าน ซึ่งให้การวกวนปฏิเสธไม่ได้ข่มขืนแม่ตัวเอง เพียงแต่ใช้กำลังจับมือแม่ไขว้หลังแล้วกดหัวลงบนที่นอน กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้เครื่องจับเท็จในการคาดคั้นความจริง ในที่สุดจึงยอมรับสารภาพว่า เมื่อเวลา 4 ทุ่มคืนวันที่ 17 ก.ค.ขณะที่แม่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ได้ใช้กำลังจับมือแม่ไขว้ กดหัวคว่ำหน้าบนที่นอน จนผ้าถุงแม่หลุด จากนั้นจึงลงมือข่มขืน 1 ครั้ง จนสำเร็จความใคร่ โดยขณะกระทำไม่รู้ตัวคล้ายกับมีคน หรือมีผีมากระซิบข้างหูให้ต้องทำตามอย่างนั้น ตำรวจจึงควบคุมดำเนินคดีตามกฎหมาย
ด้านนายสมชาย ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ กล่าวว่า หญิงดังกล่าวมีอาชีพเป็นเกษตรกรทำสวนกาแฟ ส่วนสามีบวชเป็นพระ ซึ่งมีลูกชายเพียงคนเดียวไม่ยอมทำงานขอเงินแม่ใช้วันละ 100 บาท และมาระยะหลังติดกัญชา และน้ำต้มใบกระท่อมสี่คูณร้อย จนทำให้มีอาการเหม่อลอย และมีนิสัยก้าวร้าว จนมาก่อเหตุข่มขืนแม่ตัวเอง จึงพามาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ด้านพ.ต.ท.ธานี นาคหกวิค รอง.ผกก.ป.สภ. ท่าแซะ กล่าวว่า เหตุลูกชายลงมือข่มขืนแม่ตัวเอง เป็นเพราะฤทธิ์ของกัญชา และน้ำต้มใบกระท่อมสี่คูณร้อย จนทำให้จิตใจวิปริตข่มขืนได้แม้กระทั่งแม่ของตัวเองที่เลี้ยงดูมา บุคคลประเภทนี้เป็นอันตรายมากหากปล่อยไว้ในหมู่บ้าน...