วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กินยา(หน้าใสไร้)สิวเสี่ยงโรคกระเพาะ




          หนุ่มสาวสมัยนี้ เพียงแค่มีตุ่มเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าก็ร้อนใจแล้ว ถ้าร้ายถึงขั้นเป็นสิวเม็ดเป้ง หรือสิวอุดตัน สิวอักเสบบนใบหน้าแล้วล่ะก็ เรียกได้ว่า แทบไม่อยากเอาหน้าออกไปพบผู้คน ดังนั้นมีหนทางวิธีไหนที่จะจำกัดส่วนเกินบนใบหน้างามๆ ได้ ต้องเร่งรีบ "การกินยารักษาสิว" จึงกลายมาเป็นอีกทางเลือกเร่งด่วน แต่หารู้ไม่ว่า การกินยารักษาสิวแม้จะช่วยให้กลับมาหน้าใสไร้เม็ดสิว แต่ยังส่งผลกระทบให้เกิดภาวะโรคภัยต่างๆ ได้ด้วยเช่นกัน
          หากใครที่เคยรับประทานยารักษาสิว ลองย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่คุณหมอความงามทั้งหลายจ่ายยาดูสิว่า นอกจากบอกเวลารับประทาน ได้บอกชื่อยา สรรพคุณของยา และผลข้างเคียงของยาหรือไม่ หากคำตอบคือ "ไม่" คุณจำเป็นต้องมีความรู้ไว้ป้องกันตัวเองและไว้เพื่อสอบถามกับคุณหมอเมื่อยามจ่ายยาในครั้งหน้า
"นายแพทย์จีรวัส ศิลาสุวรรณ" อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลพญาไท 2 กล่าวว่า ยา รักษาสิว มี 3 กลุ่มใหญ่ คือ ยาฆ่าเชื้อ (Antibiotic drog ) ยาลดการอักเสบ(Non-Steroidal Anti-inflammatory Drugs or steroid) และ ยาลดไขมันบนใบหน้า ( ยาในกลุ่ม Isotretinoin ,Roaccutane, Acnotin) ซึ่งยาแต่ละกลุ่มก็มีส่งผลเสียต่อร่างกายแตกต่างกันไป







กลืนลำบาก ซึ่งเป็นผลหลังจากการรับประทานยา อาจเกิดจาก ยาติดค้างในหลอดอาหาร เป็นผลมาจาก การดื่มน้ำน้อยเกินไป ควรจะดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว และหลังจากรับประทานยาไม่ควรนอนทันที ควรทิ้งช่วงประมาณ 1 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้ ซึ่งพบว่าผู้ป่วยที่รับประทานยากลุ่มนี้เป็นโรคกระเพาะอักเสบเพิ่มมาก
          สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะควรรับประทานยาหลังอาหารทันที และควรรับประทานยาลดกรดควบคู่ไปด้วย เพื่อป้องกันกระเพาะทะลุหรือโรคกระเพาะกำเริบ ซึ่งหากไปพบแพทย์ช้าก็อาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
นอกจากยากลุ่มนี้จะส่งผลร้ายให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหารแล้ว ผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นไวรัสตับอักเสบบี หรือคนที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ ยานี้จะไปกระตุ้นให้โรคกำเริบ นับเป็นภัยเงียบ คนทั่วไปไม่ได้ระวัง การรับประทานยารักษาสิวจะทำให้เกิดภาวะภาวะแทรกซ้อนได้บ่อย
กลุ่มยาลดไขมันบนใบหน้า ผล ที่เห็นชัดเจนและพบบ่อยก็คือ คนที่รับประทานยาจะมีอาการปากแห้ง  ถึงขั้นริมฝีปากแตกมีเลือดออก และห้ามคนท้องรับประทานยานี้โดยเด็ดขาด เพราะเสี่ยงให้เด็กที่เกิดมาพิการ สำหรับคนปกติระหว่างที่รับประทานยาจำพวกนี้หากจะมีเพศสัมพันธ์ต้องป้องกัน และมีการวางแผนการมีบุตร โดยหลังหยุดรับประทานยา 6-12 เดือน ถึงสามารถตั้งครรภ์ได้
หากคุณเลือกวิธีรักษาสิวด้วยการรับประทานยา ควรต้องระวังให้มาก ต้องกล้าซักถามคุณหมอเกี่ยวกับยา แจ้งคุณหมอหากมีโรคประจำตัว หากเคยรับประทานยาแล้วมีภาวะแทรกซ้อน เช่นมีแผลในกระเพาะอาหาร หรือหลอดอาหาร ควรแจ้งให้คุณหมอทราบทันที และไม่ควรรับประทานยาต่อเนื่องยาวนาน เมื่ออาการสิวลดลงแล้วก็ควรเปลี่ยนมาใช้ยาทา


หยึย! มนุษย์ยืดผิวหนังได้มากที่สุดในโลก



มนุษย์ยืดผิวหนังได้มากที่สุดในโลก


ใครได้ดูคลิปนี้แล้ว รับรองว่าต้องรู้สึกหยึย ๆ ไปตาม ๆ กัน เมื่อ แกรี่ เทอร์เนอร์ จากเมืองลินคอร์นเชียร์ ของอังกฤษ ได้มาโชว์ดึงผิวหนังออกมาจากตัวให้เยอะที่สุดท่ามกลางผู้ชมในห้องส่ง ในฐานะเจ้าของสถิติมนุษย์ที่สามารถยืดผิวหนังออกมาได้มากที่สุดในโลก
            โดยแกรี่ สามารถยืดผิวหนังของตัวเองได้ถึง 15.8 เซนติเมตร หรือประมาณครึ่งไม้บรรทัดเลย นับ ว่าไม่ธรรดาเลยล่ะ นอกจากนี้ เขายังยืดผิวหนังออกมาได้มากที่สุดแทบทุกส่วนของร่างกาย แถมยังสามารถดึงเนื้อส่วนคอมาปิดปากตัวเองได้ด้วย บร๊ะ! ทำเอาคุณผู้ชมอึ้งตะลึงงันไปเลยทีเดียว

            ทั้งนี้ การที่แกรี่สามารถยืดผิวหนังออกมาได้อย่างที่เห็น นั่นเป็นเพราะว่าเขามีอาการผิดปกติทางผิวหนังเรียกว่าโรคเฮลเลอร์ ดัลลอส ซินโดรม ซึ่งเป็นความผิดปกติที่เนื้อเยื่อและคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังของแกรี่อ่อนอย่างที่เราเห็น และดึงยืดออกมาได้เยอะ

            อย่างไรก็ตาม ในทางการแพทย์ถือว่ามีความอันตราย เพราะหากเป็นโรคนี้ อาจเกิดการแตกของเส้นเลือดที่อยู่ข้างในได้



10 ประโยชน์ของการอัลตร้าซาวด์ (M&C แม่และเด็ก)



อัลตร้าซาวด์


           การอัลตร้าซาวด์ในช่วงตั้งครรภ์ ถือว่าเป็นการตรวจที่ปลอดภัย มีประโยชน์ อย่างน้อย ๆ ก็มี 10 ประการ ดังนี้

         1.ดูเพศของทารก

         2.ใช้ดูว่ามีครรภ์แฝดหรือไม่

         3.ทำให้ทราบอายุครรภ์ที่แท้จริง ซึ่งจะมีความแม่นยำสูงเมื่อทำในช่วงอายุครรภ์ 4-6 เดือน ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับคุณแม่ที่จำวันที่มีประจำเดือนครั้งสุดท้ายไม่ได้ หรือประจำเดือนมาไม่ปกติ

         4.ดูว่าการตั้งครรภ์อยู่ภายในโพรงมดลูกหรือไม่ มีการตั้งครรภ์นอกมดลูกหรือครรภ์ไข่ปลาอุกหรือไม่

         5.ประเมินน้ำหนักและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์

         6.กรณีมีเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ การอัลตร้าซาวด์จะทำให้รู้ว่าเด็กยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ โดยการใช้อัลตร้าซาวด์ดูว่า หัวใจของเด็กยังเต้นอยู่หรือไม่ ซึ่งสามารถดูได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 6 สัปดาห์

         7.ใช้ตรวจความผิดปกติของตัวเด็ก วินิจฉัยความพิการทางร่างกายแต่กำเนิดของทารก ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ โดยการดูการเคลื่อนไหว การหายใจของทารก วินิจฉัยภาวะหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นต้น

         8.ใช้ดูปริมาณน้ำคร่ำว่ามีน้ำคร่ำน้อยเกินไปหรือมากเกินไปหรือไม่ ซึ่งทั้ง 2 ภาวะนี้มีอันตรายแก่ทารกทั้งคู่

         9.ใช้ดูตำแหน่งของรกว่ารกเกาะต่ำหรือไม่ ถ้ารกเกาะต่ำ เช่น เกาะตรงปากมดลูก เวลาคลอดปากมดลูกจะเปิดทำให้มีการตกเลือดได้ ถ้ารกเกาะต่ำมากอาจต้องคลอดโดยการผ่าตัด

         10.ประเมินความยาวของปากมดลูกในกรณีที่มีประวัติคลอดก่อนกำหนด ประเมินส่วนนำในการคลอดของทารก เช่น ท่าหัว ท่าก้น เป็นต้น

การอัลตร้าซาวด์มีกี่แบบ

          การอัลตร้าซาวด์ในปัจจุบัน มีทั้งแบบ 2 มิติ 3 มิติ และ 4 มิติ

        อัลตร้าซาวด์ 2 มิติ ภาพที่ได้ คือ ความกว้างและความยาว เป็นภาพตัดขวางตามแนวคลื่นเสียงความถี่สูงที่ส่งออกไป ซึ่งจะสามารถมองเห็นได้ทีละระนาบในแต่ละครั้ง แม้ว่าภาพที่ได้จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก แต่ภาพที่เห็นจะดูยากสักหน่อย

        อัลตร้าซาวด์ 3 มิติ หัวตรวจและอุปกรณ์ประมวลผลจะมีความซับซ้อนมากขึ้น เครื่องจะทำหน้าที่เก็บภาพ 2 มิติ คือ ความกว้างและความยาว แต่จากนั้นหัวตรวจจะถูกลากผ่านไปมาแล้วนำมาประกอบกันขึ้นสร้างเป็นภาพมิติ ส่วนการเก็บภาพมิติที่ 3 คือ ความลึกทำให้ภาพของทารกที่ปรากฏออกมาดูเหมือนจริงมากขึ้น

        อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ที่มีการประมวลผลซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เป็นการนำภาพ 3 มิติ มาเรียงกัน แสดงผลเป็นภาพเคลื่อนไหว ทำให้เห็นภาพของทารกในครรภ์ในอิริยาบถต่าง ๆ เช่น การหันหน้า ยกแขน ขยับตัว ดูดนิ้วได้

          ยังไม่มีกฎตายตัวว่า ควรตรวจอัลตร้าซาวด์แบบไหน หรือควรตรวจกี่ครั้งในช่วงตั้งครรภ์ แต่โดยมากแล้วจะตรวจในช่วงเดือนที่ 4-6 ของการตั้งครรภ์ แต่ถ้ามีข้อสงสัย เช่น มีเลือดออก สงสัยว่าท้องนอกมดลูก หรือครรภ์ไข่ปลาอุกก็จะตรวจก่อนนั้นค่ะ

ทำแผน ผีกระหัง - ชาวบ้านบางส่วนยังไม่เชื่อ ใช่ผู้ก่อเหตุ



คุม'ผีกระหัง'ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ (ไอเอ็นเอ็น)
 
         ตำรวจสีคิ้ว คุมตัวผู้ต้องหาผีกระหัง ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ท่ามกลางชาวบ้านที่แห่ดูกันแน่น
         วานนี้ (26 กรกฎาคม) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ได้ควบคุมตัว นายเดิมเชียงแสน หรือ หนุ่ม ปล้องสูงเนิน อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาก่อเหตุบุกเข้าไปยังบ้านเรือนของประชาชนในหลายหมู่บ้าน ทำแผนประกอบคำรับสารภาพยังบ้านที่เกิดเหตุ 2 หมู่บ้าน คือ ที่บ้านหนองบัว หมู่ที่ 1 และบ้านลาดบัวขาว หมู่ที่ 2 ต.ลาดบัวขาว อ.สีคิ้ว ท่ามกลางความสนใจของประชาชนที่มามุงดูการทำแผนอย่างคึกคัก ส่วนใหญ่ไม่ถึงขนาดโกรธแค้นกับการกระทำของผู้ต้องหามากนัก เนื่องจากถึงแม้จะเป็นการทำอนาจาร แต่ก็ไม่ถึงกับมีการข่มขืนกระทำชำเรา หรือทำร้ายร่างกาย แต่ทุกคนยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่คนร้ายทำไปนั้นเป็นความจริงแล้วต้องการอะไร


         อย่างไรก็ตาม ยังคงมีชาวบ้านส่วนหนึ่ง ยังคงเชื่อว่าผู้ที่ก่อเหตุนั้น เป็นบุคคลที่มีวิชาอาคมเหนือมนุษย์ทั่วไป หรืออาจจะเป็นผีกระหังอย่างที่เคยสงสัย เนื่องจากก่อนหน้าที่จะมีการนำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ มีนักบวชรูปหนึ่งเดินทางเข้ามายังหมู่บ้าน และอ้างว่าได้นั่งทางในดูแล้วพบว่า ยังคงมีวิญญาณชั่วร้ายวนเวียนอยู่ภายในหมู่บ้าน และอีกไม่นาน ก็จะเริ่มลงมือก่อเหตุอีก ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ ยังคงแบ่งรับแบ่งสู้กับความเชื่อที่ได้ยินมา

ชาวเมืองนิวยอร์กตื่น ซากสัตว์ปริศนาเกยตื้นใต้สะพาน







ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Denise Ginley

          เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ฟ็อกซ์นิวส์รายงานว่า ชาวเมืองบรู๊คลินในมหานครนิวยอร์ก สุดฮือฮา เมื่อพบซากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมปริศนาลอยมาเกยตื้นใต้สะพานบรู๊คลิน

          โดยสัตว์ปริศนาดังกล่าว มีรูปร่างค่อนข้างจะแปลกตาแก่ผู้พบเห็น มันมีรูปร่างคล้ายกับหมูและสุนัข ไม่มีขน หน้าตาแปลกพิลึก และมีนิ้วเรียวยาว 5 นิ้วคล้ายกับมนุษย์ ไม่เหมือนหมูเพราะหมูมีกีบเท้า
          ทั้งนี้ ภาพถ่ายสัตว์ปริศนานี้ถูกบันทึกได้โดยนายเดนิส กินลีย์ ช่างภาพสมัครเล่นที่เดินเล่นอยู่บริเวณดังกล่าว เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากที่เขาบันทึกภาพมันได้แล้ว ก็นำไปเผยแพร่ต่อในอินเทอร์เน็ตจนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง บ้างก็ว่ามันเป็นเพียงหมูธรรมดาตัวหนึ่ง บ้างก็ว่ามันคือสัตว์ปริศนาที่เรียกว่า "มอนทอก มอนสเตอร์" ที่เคยพบในนิวยอร์กเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2008

          อย่างไรก็ดี แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และชาวเมืองหลายคนก็ต้องการคำอธิบาย แต่ทางการกลับมองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่าแตกตื่น ซากสิ่งมีชีวิตที่พบใต้สะพานบรู๊คลินเป็นเพียงซากหมูเท่านั้น